Articles Written By: admin

‘เพลง Rap’ แนวเพลงยอดนิยมของวัยรุ่นยุคใหม่

แนวเพลงสไตล์ Rap – Hiphop ในประเทศไทย กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นศิลปินบนดิน หรือ ใต้ดิน อย่าง Dajim , Joey Boy , illslick , Fucking Hero รวมทั้งศิลปินคนอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต่างถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ  จนกระทั่งสร้างกระแสความนิยมไปทั่วประเทศ

ความเป็นมาของดนตรี ‘Rap’

โดยการ ‘Rap’ เป็นส่วนหนึ่งของ Hip-Hop ซึ่งประกอบไปด้วย การร้อง Rap , การ Scratch แผ่นเสียง , การเต้น Breakdance รวมทั้งการเขียนภาพศิลปะ Graffiti นอกจากนี้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของดนตรี Rap ยังมีการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตลอดจนการพัฒนาทางด้านดนตรีอันผสมผสานของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้การพัฒนาการของดนตรี Rap ได้มีการยกระดับจากดนตรีของชนชั้นแรงงาน กลายเป็นดนตรีที่อยู่ภายใต้กระแสหลักซึ่งได้รับการยอมรับ และจากปัจจัยเหล่านี้ก็นำมาถึงอิทธิพลของเพลง Rap ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพสังคมไทย ณ ปัจจุบัน

ย้อนรอยการเกิดของประวัติดนตรีRap – Hiphop’

สำหรับบทเพลงประเภท ‘Hiphop’ หรือ รู้จักกันดีในชื่อเพลง Rap นั้น จัดเป็นดนตรีของชนเผ่าแอฟริกัน-อเมริกัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1970 ณ เมือง New York โดยจุดกำเนิดของดนตรีสไตล์ ‘Rap – Hiphop’ นั้นถือกำเนิดมาจากความต้องการในการจัดสังสรรค์ เต้น พบปะเพื่อนฝูง ของกลุ่มวัยรุ่นเชื้อสายแอฟริกัน – อเมริกัน สำหรับชนชั้นแรงงานที่ไม่มีเงินเข้าไปสังสรรค์ในผับ ก็ได้รังสรรค์พร้อมจัดปาร์ตี้สนุกๆในรูปแบบของตัวเองขึ้นมา เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้า สำหรับการจัดปาร์ตี้ของวัยรุ่นกลุ่มนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะกิจ โดยมี DJ ทำหน้าที่เปิดเพลง และให้นักร้อง หรือ MC เป็นผู้ประกาศผ่านไมโครโฟนเพื่อชักชวนคนเข้าไปร่วมงาน และจากแหล่งสังสรรค์นี้นี่เอง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของดนตรี ‘Rap – Hiphop’

ช่วงยุคทองของ ‘Rap – Hiphop’

จากช่วงยุคทองของดนตรีสไตล์ ‘Rap – Hiphop’ นี้เอง จึงทำให้เกิดวง Rapper หญิง TRIO วงแรกของโลก ได้แก่วง… ‘Salt-N-Papa’ ในปี ค.ศ. 1985 ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเพลง ‘Push it’ โดยพวกเธอได้รับรางวัล GRAMMY ในฐานะวงดนตรี Rap ยอดเยี่ยม

‘Rap – Hiphop’ ในสังคมไทย หนึ่งในวัฒนธรรมตีแผ่ความจริง

ศิลปิน Rap ไทยกลุ่มใต้ดิน เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาดนตรี Rap ในประเทศไทยเป็นอย่างสูง เพราะเป็นการรวมตัวกันของศิลปิน Rap ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง โดยมีแนวคิดทางดนตรีในแบบพิเศษ คือ ต้องการบรรยายในเรื่องความรู้สึกให้แก่ผู้ฟัง ได้เข้าใจถึงปัญหาต่างๆในสังคมไทย ทั้งทางด้าน การเมือง , ทุจริต , ความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งประเด็นทางเพศ ซึ่งไม่อาจบอกเล่าด้วยเสียงเพลงบนดินได้ เพราะมีการใช้เนื้อหาคำพูดรุนแรง , ใช้ถ้อยคำหยาบ ตามสไตล์ของตัวเอง

แนะนำกีต้าร์ Martin & Co. รุ่น 000-30 Authentic 1919

Martin & Co. รุ่น 000-30 Authentic 1919 คือ กีตาร์ Acoustics Vintage ที่แท้จริง โดยรายละเอียดทุกอย่างถูกสร้างขึ้นใหม่ ด้วยการทำงานอันละเอียดพิถีพิถัน บริเวณด้านบนของกีต้าร์ ทำมาจากต้นสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า Adirondack ค้ำยันด้วยระบบ Vintage ของ Martin โดยเฉพาะ อีกทั้งยังประกอบด้วยไม้มะฮอกกานี จากเกาะ Madagascarทั้งบริเวณด้านหลังและข้างได้รับการเคลือบเงาแบบโบราณ , บอร์ดไม้มะเกลือสีดำมีความสวยงามอย่างลึกล้ำ เมื่อคุณลองดีดตัว 000-30 Authentic 1919 เสียงที่ได้จะจะมีความคมชัด เสียงต่ำลึก เต็มไปความซับซ้อนอันเกิน โดย Martin & Co. รุ่น 000-30 Authentic 1919 พร้อมจะมอบประสบการณ์อันแสนวิเศษแก่คุณด้วย น้ำเสียงอันแสนน่าทึ่งและความสามารถในการเล่นที่ดี

000-30 Authentic 1919 มีสีสันสไตล์ Vintage ให้ความรู้สึกดีเมื่อยามเล่น

ไม้ที่นำมาสร้างเป็นกีตาร์รุ่นนี้ สร้างมาจากไม้เนื้อแข็งทั้งหมด ซึ่งใช้เทคนิคสร้างกาวซ่อนตลอด โก้เก๋ด้วยระบบเสียง Vintage torrefaction , ประดับด้วยไม้ประดับมุก มีความกว้างตามลำดับดังนี้…1-7 / 82-5 / 16 สายสะพายมีระยะห่าง 2-3 / 8 นิ้ว อานมาในสไตล์ StewMac Golden Age มาพร้อมปุ่ม Pearloid , การเชื่อมต่อ Ivoroid ซึ่งมีลักษณะเม็ดเล็กๆ รวมทั้งการเคลือบเงาของ Nitrocellulose ซึ่งมาในรูปแบบ Vintage แบบบางพิเศษ

000-30 Authentic 1919 ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน ด้วยการก่อสร้างแบบกาวซ่อนข้อต่อคอในสไลต์ Dovetail , Adirondack โล้โก้ด้านบนมีความมั่นคง แข็งแรง ในระดับขีดสุด มาพร้อมระบบโทนสี Vintage , Madagascar Rosewood แข็งทนทนต่อสภาพของกาลเวลา นี่คือความโดดเด่นของรุ่น 000 ที่พร้อมมอบความบันเทิงให้แก่ผู้เล่นด้วยความยั่งยืน เสียงที่คมชัดสืบเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ถ้าคุณเป็นนักเล่นสไตล์ Vintage ต้องห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่ง

Martin & Co. คือ ผู้ผลิตกีต้าร์ที่คุณควรให้ความไว้วางใจ

Martin & Co. คือ ผู้ผลิตกีต้าร์จากประเทศอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี 1833 โดย Christian Frederick Martin มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากทางด้านกีตาร์ Acoustics นอกจากนี้บริษัทยังได้ผลิตเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ ออกมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Mandolin , Ukulele , กีต้าร์ไฟฟ้าและเบสไฟฟ้ามากมายหลายต่อหลายรุ่น ที่ได้รับความนิยมจากนักดนตรีในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

สำนักงานใหญ่และโรงงานหลักของ Martin & Co. ตั้งอยู่ ณ เมือง Nazareth รัฐ Pennsylvania ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาค Lehigh Valley นอกเหนือไปจากโรงงานแล้ว ยังมีอาคารหลักที่จดทะเบียนในบันทึกประวัติศาสตร์แห่งชาติในปี 2019 ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ Martin & Co. ซึ่งมีกีต้าร์นับตั้งแต่รุ่นก่อตั้งแรกๆ จนถึงกีต้าร์รุ่นใหม่ๆ กว่า 170 ตัว ที่ทำขึ้นโดย บริษัทในช่วงประวัติศาสตร์ เปิดให้บุคคลเข้าไปมาเยี่ยมชม พร้อมสามารถดูรูปภาพของเจ้าของกีตาร์ที่มีชื่อเสียง , ลองเล่นกีต้าร์และทัวร์โรงงานได้อย่างเพลิดเพลิน

 

แนะนำกีตาร์ Eko รุ่น ‘AireRelic Fiesta Red’

‘Eko’ คือ ผู้ผลิตกีต้าร์ไฟฟ้า, กีต้าร์ Acoustic รวมทั้งเครื่องมือทางดนตรีอื่นๆอีกมากมาย ของอิตาลีซึ่งผ่านกระบวนการผลิตในระดับมืออาชีพ อีกทั้งส่วนใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออกนอกประเทศเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีทั้ง กีต้าร์ Classic กีต้าร์ 12 สาย , กีต้าร์ชั้นโค้ง , กีต้าร์ไฟฟ้าและกีต้าร์เบส Acoustic

กีตาร์แบรนด์ ‘Eko’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในช่วงที่ความนิยมของแนวเพลง Rock & Roll ในยุค 1960 พุ่งทะยานถึงขีดสุด โดย Eko กลายเป็นผู้ส่งออกกีตาร์รายใหญ่สุดในโซนยุโรป โดยแบบจำลองไฟฟ้าของพวกเขามักจะประดับด้วยไข่มุก มีแนวทาง 3 – 4 แบบรวมทั้งแบบสวิตช์โยก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ชอบเล่นกีต้าร์ โดยกีต้าร์โมเดล Acoustic ได้รับความนิยมในประเทศเป็นอย่างสูง รวมถึงวงร็อคพื้นบ้านในช่วงปลายยุค 60 และยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน

EKO Aire Relic Fiesta Red – รายละเอียดอันน่าสนใจ

กีต้าร์ไฟฟ้า Eko รุ่น ‘AireRelic Fiesta Red’ จัดเป็นตัวแทนของการรวมกันของรูปลักษณ์อันแสน Classic ที่ควบรวมเข้ากับลักษณะของเครื่องดนตรีอันทันสมัย ในสไตล์ Look Relic ทำให้ AIRE กลายมาเป็นปรากฏอันเป็นเครื่องมือที่ดัดแปลงมาจากยุค 60 โดยสิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดอันทำให้เครื่องดนตรีชิ้นนี้ มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ด้วย Key Board 24 ปุ่ม , สะพาน Humbucker ซึ่งมาพร้อมกับ push pull สำหรับการแยกขดลวดทั้ง 2 ให้ง่ายดายมากขึ้น

เสียงที่ออกมามีความเบาคออยู่ในรูปแบบ American Rock Maple และแป้นพิมพ์ที่มี 24 ปุ่มพร้อมกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มี Eko Vintage Pickups มี HSS ที่ใช้ในการกำหนดค่า รวมทั้งการควบคุมระดับเสียง 2 เสียง , 5-way switch และ Push-pull เพื่อแยกสายพาน ส่งผลให้เครื่องดนตรีนี้มีความเหมาะสมสำหรับแนวดนตรีทุกประเภท ! ส่วนบนของแป้นเข้าถึงได้ง่าย เพราะมีตัวตัดแบบกว้าง อันเป็นลักษณะเฉพาะของ Elements Aire ทุกรุ่น Aire Relic มีความโดดเด่นทางสีสัน ที่สร้างประวัติศาสตร์ของกีตาร์ในแนว Daphne Blue, Fiesta Red และ Sunburst

ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคของ ‘EKO Aire Relic Fiesta Red’

  • จำนวนสตริง : 6
  • วัสดุ : เมเปิ้ลอเมริกัน
  • วัสดุคีย์บอร์ด : American Maple
  • จำนวนของคีย์ฟรี : 21
  • จำนวนปุ่มทั้งหมด : 24
  • Pickguard : Vintage Mint เขียว
  • การกำหนดค่า : H-S-S
  • Eko Vintage
  • การควบคุม : ระดับเสียง, 2 Tones, 5 Way Switch (ด้วยการกดดึง)
  • การตกแต่งแถบด้านล่าง : Matt Relic
  • สี : Fiesta Red
  • สายกีตาร์ที่แนะนำ นำมาใช้ให้เหมาะสมที่สุด : Eko Guitars .010
  • Bridge : Eko Vintage
  • กลไก : Eko Vintage

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบความ Classic ของยุค 60 กลิ่นอายซึ่งไม่สามารถย้อนยุคไปได้ จากการจับกีต้าร์เพียงตัวเดียว เราขอแนะนำให้ ‘EKO Aire Relic Fiesta Red’ เป็นตัวเลือกอันดีงามสำหรับคุณ

แนะนำกลอง Sonor รุ่น PL12 Stage 2 Shells

 

‘กลอง Sonor’ เป็นเครื่องดนตรีจากประเทศเยอรมัน ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งก็มีออกมาให้เลือกมากมายหลายรุ่นด้วยกัน สำหรับวันนี้เราจะมาแนะนำให้คุณรู้จักกับ ‘กลอง Sonor’ รุ่น PL12 Stage 2 Shells กันว่ามีประสิทธิภาพดีและน่าสนใจอย่างไรบ้าง

กลอง Sonor สัญชาติเยอรมัน รุ่น PL12 Stage 2 Shells น่าครอบครอง

สำหรับการตั้งค่าในส่วนของ ‘ProLite Stage combinano’ ทั้งหมด ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ความแม่นยำในระดับสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ และมีระดับความเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง

‘กลอง Sonor’ รุ่น PL12 Stage 2 Shells Sonor นำมาใช้งานได้ดีกับขนาดพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมทั้งพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ซึ่งต้องการให้เสียกลองกระหึ่มไปไกล ด้วยการเทียบคุณสมบัติ OSM ด้วยการวัดเชลล์อย่างเหมาะสม รวมทั้งการสร้างระบบเสียงทั้งหมด ด้วยระบบเสียงคุณภาพขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้ระบบการตีต่างๆ ในหลากหลายลีลา เป็นไปอย่างราบรื่นและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น

ส่วนประกอบของ ‘กลอง Sonor’ รุ่น PL12 Stage 2 Shells

  • Cassa 22″ x 17.5″ No Mount (ปราศจาก Forata)
  • Tom 10″ x 8″
  • Tom 12″ x 9″
  • Timpano 14″ x 14″
  • สี : Silver Sparkle

Hard Ware อื่นๆ อันเป็นองค์ประกอบของ ‘กลอง Sonor’ รุ่น PL12 Stage 2 Shells

  • Supporto rullante SS 677 MC
  • Meccanica Charlestone HH 674 MC
  • Aste dritte per piatto CTS 679 MC
  • Aste a giraffe per piatto MBS 673 MC
  • Pedale per cassa SP 673
  • Seggiolino DT 670

ด้วยคุณสมบัติของกลองชุดชิ้นนี้ จะช่วยให้คุณสามารถฝึกพัฒนาทักษะของตนเองได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งในทุกๆขั้นตอนการตรวจผลิต ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด พยายามมองหาทุกอย่างที่เป็นไปได้ ซึ่งจะพัฒนาให้ PL12 Stage 2 Shells มีคุณสมบัติดีขึ้น

จังหวะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์ มันคือสิ่งขับเคลื่อนจังหวะการเต้น ซึ่งให้พลังและการเคลื่อนไหว อย่างเป็นระบบ โดยประวัติศาสตร์ของ SONOR สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นเต้นของความท้าทายทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งผู้ประกอบการจังหวะซึ่งเชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์ตลอดจนความซับซ้อนทางดนตรี ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาของประวัติศาสตร์ SONOR มีประเด็นสำคัญอยู่ในความมุ่งมั่นแน่วแน่ต่อคุณภาพ รวมทั้งงานฝีมือโดยเฉพาะ

จากจุดเริ่มต้นที่มีแต่กาลก่อน มีจนถึงทุกวันนี้ SONOR ได้พัฒนากลายเป็นองค์กรที่มีความทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศ และแน่นอนว่าในประเทศไทยด้วย นี่จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมนักดนตรีชาวไทยถึงให้ความสนใจกับกลอง SONAR มากมายถึงเพียงนี้ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีล่าสุด จะได้ค้นพบวิธีการผลิต SONOR หากแต่ความลับของเสียง SONOR ยังคงอยู่สืบไป ทุกสิ่งที่สะท้อนออกมายังคงอยู่ในความใส่ใจอย่างพิถีพิถัน ถึงแม้แต่รายละเอียดขนาดเล็กที่สุดก็ตาม นอกจากนี้ความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งที่ต้องการรักษาคุณภาพในระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้

Kill This Love เพลงฮิตจากวง Blackpink ยอดวิวไวที่สุดในโลก

เป็นเพลงที่สร้างกระแสฮือฮาตั้งแต่วันปล่อย Teaser เลยทีเดียว สำหรับ MV ‘Kill This Love’ ของวง BLACKPINK วง K – Pop ซึ่งกำลังมีกระแสฮือฮาอยู่ในขณะนี้ โดยอัดแน่นไปด้วยสมาชิก 4 สาวมากล้นไปด้วยคุณภาพ นำทีมโดยสมาชิกอย่าง…

  • Jisoo
  • Rose
  • Jennie
  • Lisa

จากค่าย YG Entertainment หนึ่งในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของประเทศเกาหลี โดยหลังจาก MV ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 4 เมษายน 2019 เวลา 4 ทุ่มตรง โดยเพลงนี้ถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม ‘Kill This Love’ ด้วย !!

‘Kill This Love’ สร้างพลังสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ !

ณ เวลานี้เพลง ‘Kill This Love’ กลายเป็นเพลงที่น่าสนใจในเรื่องความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากสื่อเกาหลีใต้ชื่อดังอย่าง ‘Soompi’ ได้รายงานว่า MV ‘Kill This Love’ กลายเป็น MV จากฝั่ง K – POP ซึ่งมียอดวิวทะลุหลัก 10 ทะลุล้านวิวเร็วที่สุดในประวัติการณ์ ด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 13 นาทีเท่านั้น โดยได้ทำลายการรับชม MV เพลง ‘Idol’ ของวงสุดเทพ BTS จากการใช้เวลา 4 ชั่วโมง 16 นาทีเท่านั้น !!

โดยล่าสุด Soompi ก็ยังได้รายงานเพิ่มเติมอีกว่า MV เพลง ‘Kill This Love’ กลายเป็น MV Girl Group K-pop ที่มียอดวิวทะลุ 20 ล้านวิวได้อย่างรวดเร็วที่สุด ด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ 9 ชั่วโมง 38 นาทีเท่านั้น ! ซึ่งความเร็วระดับนี้ ทำลายสถิติเดิมของวง Twice ที่ปล่อย MV Music ‘YES or YES’ ทะลุทะลวงถึง 20 ล้านวิว ! ภายในเวลา 10 ชั่วโมง 27 นาทีเท่านั้น ! โดยล่าสุดทาง YouTube เองก็ได้ออกมายืนยันว่า MV ‘Kill This Love’ คือ MV ซึ่งสร้างยอดวิวสูงสุด 24 ชั่วโมงแรกมากสุด สูงถึง 56.7 ล้านวิว สามารถทำลายสถิติเดิมของเพลง ‘thank you, next’ ของ Ariana Grande ที่สร้างยอดวิวสูงถึง 55.4 ล้านวิว ภายในระยะเวลา 24 ชม. จากการนับยอดวิว วันที่ 5 เมษายน 2019

กระแสความแรงไม่มีหมด ! ‘Kill This Love’ ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า

จากกระแสความแรงของเพลง ‘Kill This Love’ ทำให้ทางต้นสังกัดของวงทนอยู่เฉยไม่ไหว กับกระแสความแรงอันเกินต้านทานขนาดนี้ จึงได้ประกาศจัดการแข่งขันเต้น Cover ในเพลง ‘BLACKPINK KILL THIS LOVE DANCE COVER CONTEST WITH Kia’ ให้แฟนๆทั่วโลกได้เข้ามาร่วมมันอย่างสุดเหวี่ยงกันด้วย โดยการแข่งขันนี้จะมีการจัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 30 เมษายน และการตัดสินคะแนนเพื่อเฟ้นหาผู้ชนะ จะตัดสินจาก YG 50% รวมทั้ง ยอดวิวบน Youtube อีก 50% และจะมีการประกาศผู้ชนะอย่างเป็นทางการ วันที่ 10 พฤษภาคม 2019 โดยแฟนเพจของ BLACKPINK ผู้ชนะรางวัลอันดับ 1 จะได้รับเงินรางวัลสูงถึง 20 ล้านวอน ! หรือ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 550,000 บาท !! สำหรับกติกาการแข่งขันนั้น ผู้ต้องการเข้าร่วมเพียงแค่ Upload คลิปการเต้นใน YouTube เท่านั้น

แนะนำแอมป์ Alto Professional รุ่น ZEPHYR ZM862

ถ้าคุณกำลังมองหาแอมป์ที่มีประสิทธิภาพ แนะนำ Alto Professional รุ่น ZEPHYR ZM862

รุ่น ZEPHYR ZM862 มีทั้งหมด 12 Input รวมถึงแจ็ค xlr ด้วยกำลังไฟแรง เมื่อเปิด 1 & 2 การขยายช่องนับมีความสมบูรณ์แบบ เหมาะสำหรับนักดนตรีกลุ่มเล็กหรือแบบย่อยผสม วงจร Headroom ทำให้มีความสูงให้ช่วง Dynamic เป็นพิเศษ ด้วยแอมป์ไมโครโฟนไมค์ที่มีสัญญาณรบกวนต่ำพิเศษ 2 aux ส่งต่อช่องสัญญาณสำหรับ Effect ภายนอก รวมทั้งการตรวจสอบแบบ EQ 3 แบรนด์ในแต่ละช่อง ช่องสัญญาณสเตอริโอ 2 ช่องพร้อมแจ็คแบบ trs รองรับ aux Input / Output สำหรับการรวมแหล่งสัญญาณเสียงจากภายนอก

คุณสมบัติของ Mixer

  • ชุดผสม Zephyr 6 แชนเนล
  • EQ แบบ 3 แบนด์ในแต่ละช่อง
  • Input 2 Mic พร้อม Phantom Power
  • XLR ชุบทองและ Input ไมโครโฟนเส้นสมดุล
  • 2 ช่องสัญญาณเสียงสเตอริโอพร้อมแจ็ค TRS
  • 2 AUX ส่งช่องสัญญาณล่วงหน้าสำหรับ Effect ภายนอกและการตรวจสอบ
  • Output หลักในส่วนควบคุมและ Out Put หูฟังที่แยกออกมาอีกที
  • ช่วยให้คุณเสียบไมโครโฟนแบบ Dynamic Condenser และไมโครโฟนไร้สาย ต่อเข้ากับ 2 ช่องสัญญาณแรก
  • Input CD ช่วยให้คุณสามารถเสียบเครื่องเล่น MP3, เครื่องเล่น CD หรือ เสียงจากเครื่องเล่น DVD
  • เสียงรบกวนต่ำมาก
  • มีรหัสสีในแต่ละส่วนของตัวผสม
  • ลูกบิดสีสดใสเพื่อการใช้งานง่าย
  • ตัวบ่งชี้ LED สำหรับระดับ Output สูงสุดด้วยพลังแห่ง Fantom
  • รับประกันผู้ผลิต 1 ปี

ข้อมูลจำเพาะของเครื่องผสม

  • ช่อง Input 1 – 2
  • Input ไมโครโฟน : การกำหนดค่า Input แบบไม่ต่อเนื่อง ค่าสมดุลทางอิเล็กทรอนิกส์
  • การตอบสนองความถี่ : 20-22,000 Hz
  • THD ความเพี้ยนรวม : <0.005%
  • ช่วงได้รับ : 0-50 dB
  • อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน : > 110 dBu
  • Phantom Power: + 48V (สวิตช์ควบคุม)
  • Line Input : สมดุลทางอิเล็กทรอนิกส์
  • ช่องสัญญาณสเตอริโอ (3 – 6)
  • Line Input : สมดุลทางอิเล็กทรอนิกส์
  • การตอบสนองความถี่ : 20-22,000 Hz
  • THD (ความเพี้ยนรวม) : <0.005%
  • ช่วงที่ได้รับ : -20 – +20 dB
  • อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน : > 110 dBu
  • แรงดันไฟฟ้าสูงสุดที่ได้รับ : 20 dB FX return

ความต้านทานของ Alto Professional รุ่น ZEPHYR ZM862

  • Input ไมโครโฟน: 9k ohm
  • Output ทั้งหมด : > 10k ohm
  • Output อื่นๆ ทั้งหมด: 120 โอห์ม
  • แหล่งจ่ายไฟ : 18V, 1500 mA
  • กำลังไฟที่ใช้ : 18 วัตต์
  • น้ำหนัก : 75 ปอนด์
  • ขนาด : 9-7 / 8 “L x 7-15 / 16” W x 2-1 / 4 “H

Alto Professional ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยทีมวิศวกรเสียง มีความมุ่งมั่นที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มอบประสิทธิภาพอันเหนือล้ำกว่า ในราคาที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ในการตั้งค่าการแสดงสด ด้วยการใช้เทคนิคการผลิตทอันแสนทันสมัยเทคโนโลยี DSP ที่มีความทันสมัย, การออกแบบอันทันสมัยทำให้ Alto ได้รับประสบความสำเร็จ ในการสร้างผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนมีความความคุ้มค่าอันยอดเยี่ยมสำหรับนักดนตรีนักแสดงและวิศวกรเสียงสด

แนะนำเพลงของ Benfay ชื่อ Liebeslied

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบฟังเพลงแนวอิเล็กทรอนิกส์ และกำลังเบื่อกับเพลงที่คุ้นชิน วันนี้เรามีอีกหนึ่งผลงานจากนักดนตรีระดับคุณภาพ จากฝั่งยุโรป ‘Benfay’ ศิลปินที่ถือกำเนิดจากสวิส มาแนะนำให้ลองหาไปฟังกันดู รับรองว่าคุณจะได้เปิดโลกทัศน์แนวอิเล็กทรอนิกส์ ที่เคยมีมาอย่างแน่นอน

ศิลปิน :: Benfay ‎ อัลบั้ม :: Liebeslied

จากค่าย :: EKO Netlabel ‎– EKO 010

สร้างขึ้นในประเทศ :: ฝรั่งเศส วางจำหน่ายวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2006

แนวเพลง :: Electronic ,Acoustic, Experimental

ในอัลบั้มนี้ ประกอบด้วย 3 Track ได้แก่…

  • Eins 14:32
  • Zwei 9:16
  • Drei 7:03

ซึ่งอัลบั้มนี้ผ่านการเรียบเรียงด้วยสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘Benfay’ เอง โดย ‘Benfay’ เริ่มจากการปรับโครงสร้าง ในการแต่งเพลงตามแบบฉบับของเขา ด้วยการผสมผสานแนวเพลงสไตล์ Electronic, Acoustic, Experimental ให้เกิดความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน โดยงานอัลบั้มนี้ของเขาฟังดู ‘สะอาดสะอ้าน’ มาก อีกทั้งยังถูกเรียบเรียงอย่างราบรื่น โดยเพลง Eins (Like) เป็นเพลงที่มีความยาวที่สุดในอัลบั้มนี้ หากแต่ฟังได้เพลิน เหมือนจบภายในเวลาไม่กี่นาที Zwei หรือเพลงที่ 2 ของอัลบั้มมีความหมายว่า Two ให้จังหวะที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่อฟังแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เพลงที่ 3 ของอัลบั้ม มีความหมายว่า Three ชื่อเพลงของ ‘Benfay’ ก็ตั้งด้วยความเรียบง่าย เหมือนกับเพลงของเขา หากแต่เมื่อได้ฟังแล้วจะสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของชายผู้นี้ สำหรับแนวทางดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ทางยุโรปสำหรับผู้ฟังในประเทศไทย ผู้เข้าวงการฟังมาใหม่ๆ อาจไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่นัก แต่เราก็อยากให้คุณลองเปิดใจฟังดู แล้วคุณจะมีความสุขกับการฟังเพลงมากขึ้นเยอะ

ประวัติของ ‘Benfay’ อีกหนึ่งศิลปินอิเล็กทรอนิกส์ที่น่าสนใจ

‘Benjamin Fay’ เจริญเติบโตขึ้นมาในเมือง Olten ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยเส้นทางสายดนตรีของเขา มาจากการฝึกฝนด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความรัก ซึ่งมีต่อเพลง ในช่วงวัยเยาเขาได้ทำความรู้จักกับ ‘Free jazz’ และฟังเรื่อยมาจนแทรกซึมเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ ในวัยเพียง 19 ปี เขาเรียน Double Bass เป็นครั้งแรก ต่อมาเขาจึงได้ทำความรู้จักกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์หลากหลายชนิด ซึ่งมันทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์ จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ได้เปลี่ยนแนวทางของเขาไปตลอดกาล เขาก็ลงมือศึกษาด้วยตนเองอีกครั้ง การศึกษาของเขาเป็นไปอย่างบ้างคลั่ง เขาทุ่มสมาธิอย่างเต็มที่ในการผลิตดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเขาต้องการหาหนทางการสร้างเพลงในสไตล์ของตัวเอง และสุดท้ายแล้วก็สามารถทำได้ จากความรักของ ‘Benfay’ ได้ผลักดันให้เขาสร้างหนทางอันรุ่งโรจน์ และสร้างผลงานอันน่าตกตะลึงจากการผสมผสานหลากหลายแนวเพลงได้มากมายขนาดนี้

แนะนำเพลงของ Andy Graydon ชื่อ Focal Plane

‘Andy Graydon’ คือ ศิลปินชาวอเมริกัน ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการสร้างเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ เขาชอบทดลองเพื่อสร้างเสียงใหม่ๆ ขึ้นมา โดยงานถนัดของเขา คือ งานเสียงภาพยนตร์ เพื่อใช้ในการติดตั้งสื่อภาพถ่ายรวมทั้งการแสดงต่างๆ ปัจจุบันเขาประจำอยู่ ณ Cambridge ในพื้นที่ทำงานของเขาโดยเฉพาะในสถานที่โล่งแจ้ง คุณจะได้พบกับชุดผลงานเสียงของเขาอันน่าสนใจ คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ และการจัดนิทรรศการในรูปแบบเสียง เลยทีเดียว นอกจากนี้การเลือกใช้งานเสียงในรูปแบบนามธรรมของเขา ยังถูกบันทึกลงบน CD, เทป รวมทั้งแผ่นเสียงไวนิลต่างๆ เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้หลงใหลในเสียงเพลง

‘Geomancy’ – Focal Plane

โดย ‘Geomancy’ เป็นคอลเล็กชั่น DVD + CD ผลงานของ ‘Andy Graydon’ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสถานที่ และการเคลื่อนของตำแหน่งอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่ได้มาจากการบันทึกภาคสนาม สื่อถึงความซับซ้อนอันร้อนแรงและแสดงให้เห็นถึงความหมายของแสง-เสียงซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ล่ะช่วงเวลา

Focal Plane’ หนึ่งในเสียงอันเป็นธรรมชาติอันน่าสนใจ

โดย ‘Geomancy’ อัลบั้มนี้ถูกสร้างขึ้นจากการบันทึกภาคสนาม ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของวัสดุและดิจิตอลที่แตกต่างกัน สำหรับการบันทึกต้นฉบับถูกตัดแบ่งออกเป็นชุดแผ่นเสียงเพื่อบันทึกเสียงให้ออกมามีความตรงตามต้นฉบับที่บันทึกมามากที่สุด

‘Focal Plane’ คือหนึ่งในเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม ‘Geomancy’ ซึ่งเป็น DVD ที่รวบรวมภาพยนตร์ทางสุดยอดของเสียงจำนวน 8 เสียงอันแตกต่างกัน ของ Graydon โดยเสียง ‘Focal Plane’ เป็นเสียงที่ต้องการสื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ของการโฟกัสไปยังเสียงที่ทุกคนต่างคุ้นชิ้น หากแต่ด้วยความคุ้นชินนี้นี่เอง จึงทำให้หลายๆ คนต่างมองข้ามไป แต่ถ้าลองได้ฟังสักครั้งคุณจะพบได้ถึงเรื่องอันน่าประหลาดใจ นอกจากนี้ยังสื่อถึง เรื่องราวของการค้นหาตัวตนอันแท้จริงของมนุษย์ เป็นเสียงที่เผยให้เห็นถึงรูปแบบอันเป็นศูนย์กลางของงานภาพยนตร์ ซึ่งมาจาก ‘สภาพแวดล้อม’ ทำให้เกิดความรู้สึกตื่นตัวเมื่อได้รับฟัง ‘Focal Plane’ ทำให้คุณได้ยินเสียงแบบสดๆ จากชิ้นงานเสียงที่ผ่านการบันทึกจากการใช้เวลาอันยาวนาน มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของสภาพแวดล้อม จากองค์ประกอบพื้นฐานของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ แสง, รูปร่าง และการเคลื่อนไหว โดยสิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วมีความยิ่งใหญ่แฝงอยู่ ซึ่งเปรียบได้กับการบันทึกภาพอันน่าสนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่บนเกาะ Hawaii ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติและมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกัน ซึ่งทำให้ผู้ได้รับฟังสัมผัสได้ถึงความเสียดทาน รวมทั้งเสียงสะท้อนซึ่งมาพร้อมกับเสียงจากการบันทึก

ถ้าคุณสนใจเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ขอแนะนำให้คุณ ลองหาอัลบั้ม ‘Geomancy’ โดยเฉพาะ Focal Plane มาฟังกัน

แนะนำเพลง Fernen ของ Karras

ถ้าคุณอยากฟังเพลงแตกต่างจากเพลงทั่วไปที่คุณเคยได้ยินมาตลอดทั้งชีวิต เราขอแนะนำอัลบั้ม Fernen (2006) ของ Karras รับรองว่าอัลบั้มนี้จะช่วยเปิดโลกของเสียง โดยคุณไม่เคยได้ยินมาก่อน สำหรับอัลบั้มนี้จัดอยู่อัลบั้มมาตรฐานของเพลง Classic รวม 6 เพลงซึ่งมาในรูปแบบนามธรรมต้องตีความ เหมาะกับผู้ต้องการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ให้กับชีวิต

อัลบั้ม Fernen (2006) ของ Karras 6 เพลง + 1 วิดีโอ ทั้งหมด 27 นาที

รายชื่อเพลง :

  • S23 4MO
  • S345MR
  • MORN45
  • BIRDS5
  • sUN235
  • m456875
  • VDO _m456875

สำหรับ SE คือ ชื่อสถานที่ตั้งของ 7 Track ซึ่งมีการบันทึกในอาคารที่สร้างขึ้นในสถานที่อันเงียบสงบ

สำหรับอัลบั้ม Fernen (2006) ของ Karras ถ้าคุณคาดหวังว่าคุณจะได้รับฟังเพลงที่มีทำนอง และเนื้อร้องอันสุดซึ้งหรือมันกระแทกใจแล้วล่ะก็ คุณคิดผิด เพราะอัลบั้มนี้สร้างมาจากการออกไปบันทึกเสียงในสถานที่ต่างๆ ที่ศิลปินเจ้าของผลงานเป็นผู้ไปเสาะแสวงหามาและนำมารวบรวมเป็นอัลบั้ม ซึ่งจัดเป็นงานแห่งปรัชญาโดยแท้ ผู้ฟังต้องตีความหมายด้วยตัวเอง ว่าเสียงที่บันทึกมาเหล่านี้ต้องการแสดงออกถึงในเรื่องอะไร แน่นอนว่าต้องการสื่อถึงความเกี่ยวพันธ์ อันมีต่อธรรมชาติ

โดยผู้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ คือ Manrico Montero หรือ Karras เขาเป็นศิลปินด้านเสียง เกิดใน Mexico City เขามีจิตใจอันแรงกล้าในการจดจ่ออยู่กับการบันทึกภาคสนาม, การบันทึกเสียงจากธรรมชาติ และการแต่งเพลง Soundtracks  เขาเป็นศิลปินที่ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัล Qwartz Awards Awards 2007 สำหรับอัลบั้มที่ได้รับรางวัล ก็คือ ‘Fernen ep’

ตีความ อัลบั้ม Fernen (2006) ของ Karras

ในทัศนะของผู้เขียนอัลบั้มของ Karras :: Fernen (2006) ของ Karras ตัวศิลปินต้องการแสดงให้เห็นถึง ‘เสียง’ ของธรรมชาติ ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่รอบตัวเราทุกวัน หากแต่หลายๆ คนกลับหลงลืมมันไป อย่างเช่นเสียงของ ‘นก’ Karras ได้นำเสนอด้วยรูปแบบอันแตกต่างไปจากปกติ หรือถ้าถามคุณว่าเสียงของยามเช้าอะไร ? หลายๆ คนก็อาจจะนึกถึงเสียงไก่ขัน, นกร้องบินออกหากินร่าเริงแจ่มใส, เสียงข่าววันใหม่ เป็นต้น แล้วถ้าถามต่อล่ะว่าเสียงของดวงอาทิตย์เป็นเช่นไร ? คุณผู้อ่านหลายๆ คนอาจกุมขมับ เกิดมายังไม่เคยได้ยินเสียงของดวงอาทิตย์เลย ! นั่นแหละ อัลบั้ม Fernen (2006) ของ Karras ได้หาคำตอบมาให้คุณแล้ว สิ่งที่ศิลปินเจ้าของผลงาน ต้องการจะสื่อ ก็คือ สิ่งบางสิ่งเราเห็นทุกวัน หากแต่ไม่อาจคาดรู้ได้ว่าเสียงเป็นอย่างไร และอาจไม่ได้สนใจด้วย หากแต่ตัว Karras เองกลับสนใจสิ่งนั้น พร้อมออกไปบันทึกมาให้ผู้ฟังได้ฟังกัน ถ้าคุณลองหลับตาและวิเคราะห์ให้ละเอียดยิ่งขึ้น คุณจะได้ยินเสียงดุเดือดมาก เช่น เสียงฟู่, เสียงสะท้อน, เสียงก้องกังวาน เป็นต้น นี่คือความสนุกซึ่งคุณจะได้พบเจอใน Fernen (2006)

https://fifa55asia.blogspot.com/

แนะนำประวัติ Benfay (Benjamin Fay) DJ ศิลปิน abstract

‘Benjamin Fay’ เติบโตขึ้นมา ณ เมือง Olten ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยเส้นทางสายดนตรีของเขานั้น มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเขาพยายามฝึกฝนแนวทางสายดนตรี ในรูปแบบของในตัวเอง จากการฟังบันทึกของเพลงสไตล์ Free jazz อย่างเป็นประจำ จนซึมลึกไปถึงจิตวิญญาณ ซึ่งเพลงเหล่านี้ก็เป็นของพ่อของเขาเอง

เดินทางตามความฝันตั้งแต่อายุ 19

เมื่อ ‘Benjamin Fay’ มีอายุ 19 ปี เขาตัดสินใจเรียนเครื่องดนตรี Double bass ณ วิทยาลัยดนตรีใน Bern ในปี 1999 จนกระทั่งเขาได้พบกับ Niels Jensen หรือ Dialogue ผู้ซึ่งแนะนำให้เขารู้จักกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์หลากหลายชนิด และสิ่งนี้ส่งผลให้การรับรู้ของ Benjamin นั้นมีความแตกต่างจาก Double bass ร่วมด้วยแนวทางดนตรีที่เขาเรียนรู้มา โดยเขาสามารถแต่งเพลงโดยไม่ต้องใช้ชุดพิเศษ เพื่อใช้ในการทำงานของเขา

เพราะฉะนั้นเพื่อจะได้มีสมาธิอย่างเต็มที่ในการผลิตดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเขาเริ่มจะติดใจเข้าให้แล้ว เขาจึงลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ในช่วงของการเรียนเริ่มแรกเขาเริ่มเรียนเกี่ยวกับ การใช้อุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งพยายามสร้างสรรค์ศิลปะแห่งการควบคุมนี้อย่างเจาะลึก เพื่อสร้างความแตกฉาน โดยในเวลาที่บันทึก Autodidact เขาเรียนรู้วิธีการควบคุม การสังเคราะห์ซอฟต์แวร์แบบแยกส่วน เช่น Reaktor เป็นต้น หรือ ซอฟต์แวร์สตูดิโอ เช่น Wavelab

สำหรับเพลงแรกของเขาที่เขาแต่งเพลงออกมานั้น เป็นเพลงสไตล์เทคโนที่ทำให้ ผู้ฟังจำนวนมากนึกถึง Kanzleramt ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นตามการฝึกฝน ‘Benjamin Fay’ เริ่มปรับโครงสร้างของการแต่งเพลง ให้เป็นไปตามแบบฉบับของเขา เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เมื่อเขาได้ยินเส้นทางแนวเพลงของเขาใครๆ เขาก็จะคิดว่างานของเขานั้นฟังดู ‘สะอาด’ มากอีกทั้งยังถูกจัดเรียงอย่างราบรื่น

การแสดงสดอันน่าประทับใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงสด ‘Benjamin Fay’ ได้รับผลตอบรับและสร้างชื่อเสียงของตัวเองที่ดีมาก จนกกระทั่งได้ไปแสดงในสโมสรขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เช่น Rohstofflager และ Tonimolkerei ในเมือง Zürich รวมถึง Reithalle ใน Bern ที่เขาอาศัยอยู่

‘Benjamin Fay’ นี่แหละที่เป็น DJ และความคิดสร้างสรรค์เบื้องหลังซีรีย์ ‘Future Sounds of Jazz’ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะการแสดงสด โดย ‘Benjamin Fay’ แสดงศักยภาพของตัวเองพร้อมเปล่งประกายได้อย่างสว่างไสว ท่ามกลางแสงน้อยที่สุด เขาใช้ประโยชน์จากความเรียบง่าย รวมเข้ากับความประหลาดใจดนตรีสไตล์ชนเผ่า หรือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ในแบบฉบับของตัวเอง ต่อมา ‘Benjamin Fay’ หันไปหา DJ ING ในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกทางภาคสนามอีกทั้งเป็นผู้ทดสอบ BATA เครื่องดนตรีพื้นเมือง ซึ่งได้รับการผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว ด้วยการใช้เครื่องผสม ‘MP3 TRAKTOR’และก้าวขึ้นมาเป็นนักดนตรีที่มีแนวทางเฉพาะ มีชื่อเสียงไปในวงกว้าง